กุหลาบ (Rose) เป็นดอกไม้ที่ผู้หญิงทุกคนมักจะหลงใหลในความงามของเธอ เนื่องจากความสวยงามของดอก สีสัน และกลิ่นที่หอมหวานชวนดม นอกจากนี้มันยังมีหนามที่แหลมคมไว้ปกป้องต้วเอง หลายคนจึงเปรียบเปรยความงามของผู้หญิงว่าเหมือน "ดอกกุหลาบ" เช่นเดียวกับพระนางคลีโอพัตราแห่งอียิปต์ ซึ่งเป็นเทพีหรือสัญญลักษณ์แห่งความงามของผู้หญิง เธอคือคนแรกในหน้าประวัติศาสตร์ ที่ได้รับการเปรียบเปรยความงามและความมีเสน่ห์ไว้ เฉกเช่นดอกกุหลาบงาม...
ประวัติและตำนานรักแสนหวาน..
กุหลาบ (Rose) เป็นไม้ที่เป็นที่นิยมปลูกและชื่นชมมาแต่โบราณ แลประมาณว่าได้เกิดขึ้นมากว่า 70 ล้านปีมาแล้ว เนื่องจากเคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบที่รัฐโคโลลาโด และรัฐโอเลกอนในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่เป็นกุหลาบป่าและมีรูปร่างไม่เหมือนทุกวันนี้ และได้มีการพิสูจน์กันว่า กุหลาบป่าเป็นพืชที่มีอายุถึง 40 ล้านปีกุหลาบป่า (Rosa roxbrghiitratt) |
|
Rose garden in Rome |
โรมหรือโรมัน กุหลาบถือได้ว่าเป็นดอกไม้ที่ความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของชาวโรมัน และเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ชาวโรมันจึงได้นิยมมอบดอกกุหลาบให้เป็นของขวัญอันล้ำค่า และนำมาร้อยเป็นมาลัยต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง รวมทั้งเป็นดอกไม้ที่ใช้จัดในงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ ทั้งนี้ เนื่องจากมีความเชื่อในตำนานเล่าขานที่ได้กล่าวถึงเทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพีแห่งความงามและความรัก อันเป็นที่มาของดอกกุหลาบสีแดงว่า มาจากหยดเลือดของนาง
ประเทศไทย กุหลาบเข้ามาเมืองไทยสมัยใดไม่ทราบแน่ชัด แต่จากบันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช บันทึกไว้ว่าได้เห็นกุหลาบที่กรุงศรีอยุธยา และพบว่าหลักฐานที่แน่ชัดอีกแห่งก็คือ ในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ในเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร (เจ้าฟ้ากุ้ง) กล่าวถึงกุหลาบไว้ว่า
"กุหลาบกลิ่นเฟื่องฟุ้ง เนืองนอง
หอมรื่นชื่นชมสอง สังวาส
นึกกระทงใส่พานทอง ก่ำเก้า
หยิบรอจมูกเจ้า บ่ายหน้าเบือนเสีย"
และยังมีตำนานดอกกุหลาบของไทยที่เป็นบทละครพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 เรื่อง มัทนะพาธา
โดยในเรื่องได้เล่าถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ "มัทนา" ซึ่งมีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ "สุเทษณะ" ทรงหลงรักเทพธิดา "มัทนา" มาก แต่นางไม่มีใจรักตอบ จึงถูกสาปให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ จึงกลายเป็นตำนานดอกกุหลาบแต่นั้นมา
กุหลาบ มาจากคำว่า "คุล" ในภาษาเปอร์เชีย แปลว่า "สีแดง ดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ" และเข้าใจว่าจากเปอร์เซียได้แพร่เข้าไปในอินเดีย เพราะในภาษาฮินดีมีคำว่า "คุล" แปลว่า "ดอกไม้" และคำว่า "คุลาพ" ก็หมายถึงกุหลาบอย่างที่ไทยเราเรียกกัน แต่ออกเสียงเป็น "กุหลาบ" ส่วนคำว่า "Rose" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า "Rhodon" ที่แปลว่ากุหลาบในภาษากรีก
โดยในเรื่องได้เล่าถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ "มัทนา" ซึ่งมีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ "สุเทษณะ" ทรงหลงรักเทพธิดา "มัทนา" มาก แต่นางไม่มีใจรักตอบ จึงถูกสาปให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ จึงกลายเป็นตำนานดอกกุหลาบแต่นั้นมา
กุหลาบ มาจากคำว่า "คุล" ในภาษาเปอร์เชีย แปลว่า "สีแดง ดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ" และเข้าใจว่าจากเปอร์เซียได้แพร่เข้าไปในอินเดีย เพราะในภาษาฮินดีมีคำว่า "คุล" แปลว่า "ดอกไม้" และคำว่า "คุลาพ" ก็หมายถึงกุหลาบอย่างที่ไทยเราเรียกกัน แต่ออกเสียงเป็น "กุหลาบ" ส่วนคำว่า "Rose" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า "Rhodon" ที่แปลว่ากุหลาบในภาษากรีก
นายจีระ ดวงพัตรา เจ้าของสวน “จีระโรส” อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกกุหลาบมายาวนานกว่า 50 ปี ได้เล่าถึงวิวัฒนาการของดอกไม้ที่คนกว่าครึ่งโลกยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก..ว่า มีหลักฐานกล่าวาไว้ว่า "กุหลาบ" มีต้นกำเนิดที่เขาคอเคซัสในเปอร์เซีย (หรือประเทศอิหร่าน) เรียกว่า “คุล” ซึ่งในภาษาเปอร์เซียแปลว่า ดอกไม้ กุหลาบ หรือสีแดง จึงอาจเป็นไปได้ว่าสีกุหลาบในสมัยก่อนนั้นคือสีแดงเข้มถึงแดงอ่อน นอกจากนี้จากหลักฐานในทางประวัติศาสตร์ย้อนไปกว่า 1,200 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาวเปอร์เซียได้บันทึกไว้ว่า กุหลาบเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องประทินผิว ยา รวมไปถึงส่วนประกอบอาหาร นอกจากนี้กุหลาบยังได้รับการยอมรับว่า มีสรรพคุณในทางยา ซึ่งใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ป้องกันโรคภัยต่างๆ และ ป้องกันความแก่ชรา มาช้านาน
ขอบคุณเว็บไซด์ที่ให้การสนับสนุนข้อมูลที่ดีแก่เรา..
http://www.panmai.comhttp://prachatai.com/journal/2011/02/33060